ลี่เจียง (Lijiang) แหล่งท่องเที่ยวและการเดินทาง

ลี่เจียง เขาไปเที่ยวอะไรกัน? เดินทางลำบากไหม? ห้องน้ำสะอาดหรือเปล่า? สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องกังกลของคนที่กำลังจะทำแผนเดินทางไปที่นี่ แต่หารู้ไม่ว่าเมืองเล็กๆแห่งนี้ กลายเป็นเมืองในฝันของใครหลายๆคน รวมถึงแอดมินไปแล้ว ^^

…การเดินทางครั้งนี้ แอดมินขออนุญาตแบ่งเป็น 2 ตอน เพื่อที่จะได้ไม่ยาวจนเกินไปนะครับ…

EP.1 : หาหิมะกันเถอะ!! ใช่แล้ว..เมืองนี้เขามีหิมะด้วยนะ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นรอบนี้เราจะพาทุกท่านไปสัมผัสกับ “ลี่เจียง” เขตการปกครองทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และยังเป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1997 จากองค์การยูเนสโก เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานหลายร้อยปี และเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชนเผ่าหน่าซี (Naxi) ที่อพยพมาจากทิเบต

Day 1 

การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นที่ กรุงเทพฯ บินตรงสู่ ลี่เจียง โดยสายการบิน Lucky Air สายการบินสัญชาติจีนที่ใครได้ยินชื่อก็ต้องร้อง ห๊ะ? สายการบินอะไรนะ? ไม่ใช่แค่คุณที่คิดแบบนั้น เพราะแอดมินก็กังวลว่าจะปลอดภัยหรือเปล่า… แต่แล้วหลายๆอย่างก็เปลี่ยนความคิดไปหลังจากที่เราได้ขึ้นไปนั่งบนเครื่อง โดยเป็นที่นั่งแบบ 3-3 >> คุณผู้ฟังทั้งหลาย สายการบินเขาถือว่าครบครันในระดับหนึ่งเลยนะ แอร์ก็น่ารัก สจ๊วตก็หล๊อ หล่อ งู้ย….!! เดี๋ยวๆ ถึงเวลาเครื่องออกจ้า บนเครื่องบินมีบริการน้ำดื่มท่านละ 1 ขวด ส่วนท่านไหนที่รู้สึกหิวทางสายการบินก็มีบริการอาหารด้วย แต่มีเมนู และจำนวนที่ค่อนข้างจำกัด ((อย่าถามว่ามีอะไรบ้างนะ เพราะแอดมินนั่งงงอย่างเดียวเลย ฟังไม่ออกน่ะสิครับผม! เพราะคุณแอร์เขารัวจีนมายาวเหยียด ต้องบอกได้คำเดียวเลยว่า คร๊อก……Zz))

หนีห่าว…ผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้เราได้เดินทางถึงเมืองลี่เจียงแล้วจ้า หลังจากผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง และรับกระเป๋าแล้ว สิ่งแรกที่เราต้องทำคือ หยิบเสื้อกันหนาว ตัวหนาหน่อยๆ มาสวมเลยทันที เพราะวันที่เราไปถึงที่ลี่เจียงมีอุณหภูมิ 7-9 องศาเท่านั้น  สำหรับใครที่ชอบอากาศเย็นๆ แกร…คือมันดีย์มากกกก แต่ยืนนอกอาคารไม่ได้นะเพราะเริ่มสั่นๆแล้ว ไงต่อล่ะ…ขึ้นรถสิฮ๊ะคราวนี้ หลังจากทุกคนนั่งประจำที่ ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนดังขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว (ในใจนึกว่าเสียง GPS แจ้งเตือน) แต่ที่ไหนได้ มันคือเสียงแจ้งเตือนให้ผู้โดยสารรับเข็มขัดนิรภัย หูยยยย.. ความปลอดภัยเป็นเลิศ! และแน่นอนครับคุณต้องคาดเข็มขัดทุกครั้งเมื่อคุณนั่งลงบนเบาะอันนุ่มๆ  พร้อมมุ่งตรงสู่ตัวเมืองลี่เจียง เวลาที่แอดมินเดินทางไปถึงก็ค่ำพอดีจึงทำให้โปรแกรมแรกของเรานั่นก็คือ รับประทานอาหารเย็นจ้า… อาหารมื้อแรกที่ลี่เจียง ร้านดี! อาหารดี! รสชาติดี! ให้ 3 ผ่านเลย หลังจากเติมพลังกันเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาเดินย่อยกับสถานที่แรกที่เราจะพาทุกท่านไปนั่นก็คือ “เมืองโบราณลี่เจียง” เมืองเก่ากว่า 800 ปี ที่มีสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแตกต่างไปจากเมืองโบราณอื่นๆของจีน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งรกรากของชาวหน่าซี หรือนาซี มาตั้งแต่สมัยโบราณ เมืองนี้ยังได้รับการขนานนามว่า “เวนิสแห่งตะวันออก” และเป็นเมืองมรดกโลกอีกด้วย สิ่งที่ประทับใจมากคือระบบการจัดการเรื่องความสะอาดของที่นี่คือสุดมากกก ตรงไหนมีขยะจะมีเจ้าหน้าที่เดินกวาดตลอด ห้องน้ำในเมืองโบราณมีการปรับให้เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ขณะที่กำลังเดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงการละเล่นพื้นเมืองของชนเผ่านาซี ทำให้เมืองโบราณแห่งนี้มีความน่าหลงใหล และความสวยงามไปในตัว สำหรับค่ำคืนนี้ขออนุญาตไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน เพราะวันรุ่งขึ้น เราจะไปพิชิตยอดเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain) ไฮไลท์ของลี่เจียง..เจียง..เจียง..

Day 2 (A.M.)

ตื่นเช้าๆ กับเวลาท้องถิ่นประมาณ 06.00 น. ขุ่นพระขุ่นเจ้า!! อุณหภูมิ -3 องศาเซลเซียส ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแต่งกายมีอะไรประโคมมาให้หมด ถุงมือเอย.. ผ้าพันคอเอย.. หมวกเอย.. เสื้อ 3 ชั้นก็มา พร้อม! ไปโลดดดด! วันที่สองนี้เราจะใช้เวลาในการเที่ยวในรั้วของอุทยานทั้งวัน รถที่ใช้คือรถบัสของอุทยานเท่านั้น ดังนั้นของที่จำเป็นต้องใช้ให้นำติดตัวไปด้วยนะ พอไปถึงอุทยานก็ไม่รอช้าที่จะขึ้นไปบนยอดเขา การขึ้นจะมี 2 Step คือ อันดับแรกต้องนั่งรถอุทยานขึ้นไปก่อน ส่วนจุดที่สองคือ นั่งกระเช้าขึ้นไปสู่จุดชมวิว // ก่อนที่จะขึ้นกระเช้าจะมีเจ้าหน้าที่บริการกระบอกออกซิเจน เพราะยิ่งขึ้นที่สูงมากเท่าไหร่อากาศจะเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ หากรู้สึกเริ่มหายได้น้อยก็นำเจ้ากระบอกนี้มาครอบบริเวณจมูก และปากจากนั้นจึงค่อยๆ พ่นเข้าไป

>> หลังจากทุกคนได้รับออกซิเจนแล้วก็พากันเดินไปต่อแถวเพื่อที่จะขึ้นกระเช้าไปบนยอด เมื่อถึงคิวแล้วก็นั่งยาวๆ ไปเลย… เราใช้เวลาอยู่ในกระเช้าประมาณ 25-30 นาทีก็ถึงจุดตรวจตรา กับระดับความสูง 4,506 เมตรจากระดับน้ำทะเล (กรุงเทพฯบ้านเรามีความสูง 1-1.5 เมตรจากระดับน้ำทะเลเท่านั้น) ในระหว่างที่อยู่ด้านบนนี้เราต้องทำตัวให้เหมือนสล็อตที่ทำอะไรก็ต้องช้าๆ ค่อยๆ เดิน ห้ามวิ่งหรือกระโดดเด็ดขาด ไม่งั้นออกซิเจนที่เตรียมมาก็ไม่ได้ผลนะจ๊ะ สัมผัสแรกที่ได้คือลมหนาวเย็นพัดผ่านตัวอันบอบบางของเรา แถมยังมีหิมะติดมาด้วย OMG! จะหนาวไปหนายยยย.. สิ่งที่แรกที่จะทำให้เราอยากเดินไปหานั่นก็คือ ป้าย 4,506 เพราะถือได้ว่าเป็นจุดเช็คอินหลักที่เมื่อใครๆ มาถึงก็ต้องมาแช๊ะภาพกันให้ได้ ณ จุด จุด นี้ ^^ แต่!! ความสวยงามยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะเรายังสามารถเดินขึ้นไปตามทางได้อีก และแน่นอนว่ามันจะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากใครไหวก็จัดเลยครับ แต่ถ้าใครไม่ไหวบริเวณก่อนทางลงจะมีร้านอาหาร หรืออาคารรับรองสามารถนั่งพักได้เช่นกัน ถามว่าแล้วแอดมินเอาไง มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องไปต่อสิครับโผม… ในระหว่างทางที่เดินไปก็สัมผัสกับลมหนาวที่มาเป็นระลอก มันเริ่มหนาวแบบเข้ากระดูกอย่างแท้จริง ใช้เวลาสักนิดเราก็มาถึงจุดที่ผู้คนสามารถพิชิตได้ของยอดเขากับระดับความสูง 4,680 เมตรจากระดับน้ำทะเล อันที่จริงแล้วความสูงที่แท้จริงของภูเขาหิมะมังกรหยกแห่งนี้มีความสูงที่ 5,596 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยิ่งฟังยิ่งเหนื่อย แฮ่ก แฮ่ก! เอาเหอะแค่นี้ก็ถือว่าสุดแล้ว และก็ได้ค่อยๆ ไต่ลงมาตามทางจนถึงจุดลงกระเช้าพร้อมกับหันไปมองภูเขาหิมะอีกครั้ง พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า “นี่อาจจะเป็นครั้งแรก แต่เชื่อสิเราจะมาเป็นครั้งที่สอง สาม สี่ แน่นอน”

ภูเขาหิมะ-4

…ลงจากกระเช้าเป็นที่เรียบร้อย ก็นั่งรถอุทยานต่อ หลังจากใช้เวลาไปประมาณครึ่งวันก็ถึงเวลาหาอะไรกระแทกปากกันแล้ว ครั้งนี้เราได้ลองชิมอาหารในอุทยาน ต้องยอมรับตรงๆ ว่าอาหารไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ เพราะรสชาติคือจีนอย่างแท้จริง แต่ดีนะที่แอดมินพกน้ำพริก และซอสต่างๆ ไปด้วย ช่วยให้อาหารมื้อนี้อร่อยขึ้นเยอะเลยทีเดียว…

>>แต่ความน่าอัศจรรย์ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ อยากทราบว่าเราจะพาไปที่ไหนต่อ รอติดตามชมกันนะ<<

…To be Continue…

สอบถามเพิ่มเติม โทร : 02-525-2235 / 08-6318-0608
Facebook: Travel Wonders Co.,Ltd
Line: @travelwonders.th
Website: www.travelwonders.co.th
ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยว เลขที่ 11/08468

#ให้การเดินทางของคุณเป็นเรื่องมหัศจรรย์  #TravelWonders

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *